บทความ | 4254 วิว
เกรดเพชรคือออะไร? เพราะเพชรเป็นอัญมณีอันแสนล้ำค่าที่ไม่ว่าใครๆ ก็เป็นต้องอยากมาได้ไว้ในครอบครอง ก่อนจะไปเลือกซื้อเพชร AURORA Diamond จึงอยากชวนมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าเพชรแต่ละเกรดมีความแตกต่างกัน ซึ่งเกรดเพชรส่งผลต่อความสวยงาม และราคาที่แตกต่างกันอีกด้วย ดังนั้น เวลาเลือกซื้อเพชรต้องดูเกรดเพชรเสมอ เพื่อให้ได้เพชรน้ำงาม และคุ้มค่าแก่การลงทุนมากที่สุด ไปดูกันว่า การแบ่งเกรดเพชรทำได้อย่างไร เพชรมีกี่เกรด เลือกซื้อเกรดไหนให้คุ้มค่ามากที่สุด
เกรดเพชร คือ เกณฑ์ในการแบ่งเกรดเพชรที่พัฒนาโดยสถาบันเพชรระดับโลกอย่าง De Beers Group Institute of Diamonds (DBIOD) โดยใช้ระบบการแบ่งเกรดเพชรแบบ 4C’s ที่มีเกณฑ์การพิจารณาคุณภาพของเพชรจากน้ำหนักกะรัต (Carat) สี (Color) ความสะอาด (Clarity) และการเจียระไน (Cut) ซึ่งนอกจากส่งผลต่อเรื่องของความสวยงามของเพชรแล้ว ยังมีผลโดยตรงกับราคาขายของเพชรเม็ดนั้นอีกด้วย
นอกจากในเรื่องของสีของเพชรแล้ว ยังมีหลักเกณฑ์อื่นๆ ที่ควรนำมาประกอบการพิจารณาในการเลือกซื้อเพชรด้วยเช่นกัน เพราะแม้ว่าเพชรจะเม็ดไม่ใหญ่มาก แต่ไม่มีตำหนิ หรือรอยแตก และเล่นแสงไฟได้ดีกว่า ก็เรียกได้ว่าเป็นเพชรน้ำงามที่คุ้มค่าในการซื้อเก็บไว้ โดยพิจารณาตามหลัก 4C’s อย่างที่ได้กล่าวไป ดังนี้
กว่าจะมาเป็นเพชรน้ำงามบนนิ้วของคุณได้ ก็ต้องผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี โดยสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือเรื่องของน้ำหนักเพชร หรือกะรัต (Carat) นั่นเอง โดยเพชร 1 กะรัต จะมีน้ำหนักเท่ากับ 200 มิลลิกรัม หรือ 0.2 กรัม แต่โดยส่วนใหญ่จะเรียกน้ำหนักเพชร 1 กะรัต เท่ากับ 100 แต้ม (Point) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ตังค์ ยกตัวอย่างเช่น เพชรขนาด 0.50 กะรัต = เพชร 50 แต้ม หรือเพชร 50 ตังค์
อย่างไรก็ตาม สถาบัน De Beers Group Institute of Diamonds (DBIOD) ได้มีการกำหนดเกรดสำหรับเพชรธรรมชาติที่ไม่ได้เจียระไนให้มีน้ำหนักอย่างน้อย 0.10 กะรัต ซึ่งตามมาตรฐานอุตสาหกรรมของทางสถาบันจะมีการรายงานเกรดเพชร โดยทำการบันทึกน้ำหนักของเพชรเป็นทศนิยม 2 ตำแหน่ง แต่เพื่อความปลอดภัย สถาบันได้ทำการรับ และส่งเพชรทุกเม็ดโดยชั่งน้ำหนักให้เป็นทศนิยม 6 ตำแหน่งเสมอ จากนั้นใช้วิธีการปัดเศษ เช่น เพชรน้ำหนัก 0.3484 กะรัต = 0.34 กะรัต และเพชรน้ำหนัก 0.3485 = 0.35 กะรัต
การแบ่งเกรดเพชรว่าเพชรเม็ดไหนเป็นเพชรน้ำงาม สามารถจำแนกได้จากสีของเพชร หรือน้ำเพชร โดยยิ่งเพชรเม็ดนั้นมีความขาวใสไร้สีมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเพชรเม็ดนั้นมีเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์สูงมากขึ้นเท่านั้น โดยอ้างอิงจากสถาบัน De Beers Group Institute of Diamonds (DBIOD) เป็นเกณฑ์สากลที่ใช้ในการวัดเกรดสีของเพชรจากสีต้นแบบ D ถึง Y/Z โดยกำหนดให้เกรด O/P ถึง Y/Z เป็นเพชรสีเหลือง และเพชรแฟนซี ดังนี้
เพชรเกรดไร้สี (Colorless) เพชรเกรด D, E และ F คือเพชรเกรดไร้สี มีลักษณะเหมือนหยดน้ำบริสุทธิ์ หรือเพชรน้ำ 100 ที่หลายคนคุ้นเคยแต่เนื่องจากเป็นเกรดสีเพชรที่หาได้ยากมาก จึงทำให้ปัจจุบันมีมูลค่าสูงมากที่สุด
เพชรเกรดเกือบไร้สี (Near Colorless) เกรดเพชรที่มีสีเพชรเกรดเกือบไร้สี คือเพชรเกรด G, H, I และ J โดยสามารถทดสอบเบื้องต้นได้จากการคว่ำหน้าเพชรเกรดเหล่านี้ลงบนกระดาษสีขาว แล้วลองสังเกตตรงของกลางเพชรดู ก็จะมองเห็นสีเหลืองจางๆ ปรากฏอยู่ภายในตัวเพชรได้
เพชรเกรดสีเหลืองจาง (Slightly Tinted ) เพชรเกรด K, L, และ M มีสีเหลืองจางที่สังเกตได้ง่ายมาก โดยสามารถมองเห็นสีเหลืองจางๆ ชัดเจนได้ด้วยตาเปล่าจากหน้าเพชร ซึ่งเพชรเกรดเหลืองจางเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบเครื่องประดับแนววินเทจ หรืออยากได้เพชรขนาดใหญ่ในราคาที่ถูกลง
เพชรเกรดสีเหลืองอ่อนมาก (Very Light Yellow) เกรดเพชร N, O, P, Q, และ R ที่มีสีเพชรเกรดสีเหลืองอ่อนจนเกือบเป็นสีน้ำตาล ทำให้ไม่เป็นที่นิยม
เพชรเกรดสีเหลือง (Light Yellow) เพชรเกรด S ถึง Y/Z มีสีเหลือง หรือน้ำตาล และเป็นเพชรที่ไม่เป็นที่นิยมเช่นเดียวกัน
การแบ่งเกรดเพชรโดยพิจารณาความสะอาดของเพชร (Clarity) ของสถาบัน De Beers Group Institute of Diamonds มีการให้คะแนนความสะอาดของเพชรตั้งแต่ไร้ตำหนิจนถึงระดับ I-3 ตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยวิธีการคัดเลือกตำหนิของเพชร และจัดเกรดเพชรด้วยกล้องจุลทรรศน์ระดับ 10X ทำให้มั่นใจได้ว่าเพชรที่ได้จะมีความสะอาด ชัดเจน ไร้ตำหนิ และมีความสมมาตร
การเจียระไน (Cut Grade) เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดในการคัดเกรดเพชร เพราะเพชรน้ำงามต้องเล่นแสงไฟได้ดี แม้ว่าเพชรเม็ดนั้นมีขนาดกะรัตน้อยกว่า แต่ถ้ามีการเจียระไนที่ดีกว่า ก็ทำให้มีความสวยงามเปล่งประกาย และทำให้มีราคาที่สูงตามไปด้วย ซึ่งตามมาตรฐานของสถาบัน De Beers Group Institute of Diamonds มีการประเมินเกรดการเจียระไนเพชรของเพชรทรงกลม ตั้งแต่ระดับดีเยี่ยมไปจนถึงระดับแย่ โดยประเมินจากปัจจัยของสัดส่วนเพชรที่วัดได้ การขัด้งา และความสมมาตรของเพชร ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานที่มีการยอมรับในระดับระดับสากล
เพชรมีหลายเกรด วัดจากขนาด น้ำหนัก สีของเพชร ความสะอาด และการเจียระไน แต่สิ่งที่สังเกตได้ง่ายคือเกรดสีของเพชรที่อาจมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย การเลือกซื้อเพชรที่มีใบเซอร์จากสถาบัน De Beers ในเกรด D-F จาก Aurora Diamond แน่นอนว่าจะได้เพชรไร้สีที่มีความสวยงาม และมีมูลค่าสูงมากที่สุด แต่หากต้องการเพชรน้ำงามที่มีเกรดสีรองลงมาในระดับเพชรเกือบไร้สี หรือต้องการลงทุนไปกับการเลือกซื้อเพชรโดยพิจารณาจากความสะอาดของเพชร และการเจียระไนที่มีความประณีต ก็จะช่วยให้เลือกซื้อเพชรน้ำงามได้อย่างคุ้มค่า และเหมาะสมได้เช่นกัน
เกรดเพชรถือเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกเพชรน้ำงาม ไม่ว่าจะเพชรน้ำ 100 เพชรน้ำ 98 หรือเพชรเกรดรองลงมา แต่นอกจากการพิจารณาสีของเพชร หรือน้ำเพชรแล้ว ขนาดของเพชรก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเพชรที่มีขนาดใหญ่อาจทำให้มองเห็นรอยตำหนิ หรือรายละเอียดต่างๆ ของเพชรได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเพชรที่มีขนาดใหญ่ ราคาย่อมสูงมากขึ้นตามไปด้วย
เพชรขนาดใหญ่ การเลือกเพชรขนาดใหญ่ เกรดไร้สี D, E และ F หรือเพชรน้ำ 100 มีมูลค่าสูง หากต้องการจำกัดงบประมาณ อาจลองเลือกเพชรเกรดเกือบไร้สี G, H, I และ J ได้ เพราะมีราคาที่ถูกกว่า แต่ยังได้เพชรที่มีสีใกล้เคียงกับเพชรเกรดไร้สี อีกทั้งยังสามารถเอางบประมาณที่เหลือไปลงทุนกับการเจียระไน และการจัดการกับตำหนิของเพชรได้
เพชรขนาดเล็ก การเลือกเพชรขนาดเล็ก สามารถเลือกซื้อได้ทุกเกรดสี อีกทั้งยังสามารถซื้อเพชรน้ำงามได้ในราคาที่ถูกลง เพราะขนาดของเพชรที่เล็กลงนั่นเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องการเพชรที่มีขนาดเล็ก และยังต้องการจำกัดงบประมาณลงอีก การเลือกเพชรเกรดเกือบไร้สีที่มีเทคนิคการเจียระไนที่ดี มีความสวยงาม เปล่งประกาย และมีการเล่นแสงไฟ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีเช่นกัน
คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเลือกซื้อแหวนเพชรแถว แหวนเพชรล้อม หรือแหวนเพชรเรียงกันสามเม็ดโดยใช้เพชรเกรดเกือบไร้สีเป็นเพชรหลัก การเลือกสีเพชรเม็ดอื่นๆ ให้มีความใกล้เคียงกันกับเพชรเม็ดหลักตรงกลางก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา เพราะหากเลือกสีเพชรที่แตกต่างกับเพชรเม็ดหลักมากเกินไป อาจทำให้เพชรเม็ดหลักดูเหลืองได้
โดยทั่วไปแล้ว การคัดเกรดเพชรด้วยตัวเองอาจเกิดความคลาดเคลื่อนหรือไม่แม่นยำ จึงจำเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนมาจำแนกเพื่อความถูกต้องแม่นยำ แต่หากต้องการสังเกตสีเพชรในเบื้องต้น สามารถทำได้โดยการนำเพชรมาคว่ำใส่กระดาษสีขาวแล้วส่องไฟ และใช้แว่นขยายเป็นตัวช่วยเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตาม สีของเพชรไม่ใช่การคัดเกรดเพชรที่แม่นยำ เพราะเพชรน้ำงามต้องดูในส่วนของน้ำหนักกะรัต ความสะอาดใสไร้ตำหนิ และการเจียระไนที่ดี เพื่อทำให้เกิดการเล่นไฟจนมีประกายแสงที่สวยงามแวววาวอีกด้วย
การคัดเกรดเพชร คือการจำแนกเพชรออกจากกันโดยพิจารณาจากน้ำหนัก ความสะอาด สีของเพชร และการเจียระไน ซึ่งเพชรน้ำงามก็มีความแตกต่างกันไปตามระดับสี หรือค่าความบริสุทธิ์ของเพชร หากต้องการเลือกซื้อเพชรน้ำงาม AURORA Diamond มีเพชรแท้ที่ผ่านการรับรองจากสถาบันชั้นนำ De Beers พร้อมมีบริการให้คำปรึกษาและมีผู้เชี่ยวชาญช่วยให้คุณเลือกเพชรได้อย่างคุ้มค่าภายใต้งบประมาณที่เหมาะสม และมีการรับประกันการตรวจสภาพเพชร รวมไปถึงบริการทำความสะอาดเพชรตลอดอายุใช้งา